ในเดือนพฤษภาคม 2563 ดัชนี SET Index ให้ผลตอบแทนที่ 3.16% เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากที่เดือนเมษายนปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.61% ขณะที่ YTD ดัชนี SET Index ให้ผลตอบแทน -15.00% ตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกที่เร่งฟื้นตัว
ภาพแสดงอัตราผลตอบแทนสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤษภาคม 2563 (SET Index YTD Accumulated Return)
ที่มา SET SMART
ในเดือนพฤษภาคม Sector ส่วนใหญ่ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มเหมืองแร่ (+50.81%), กลุ่มเกษตร (+46.38%), กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (+16.00%) ในขณะที่กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร (-4.76%), กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (-1.30%), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (-0.90%) ปรับตัวลดลงสวนทางกลับตลาด
YTD กลุ่มธนาคาร (-33.33%), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (-21.48%) ให้ผลตอบแทน Underperform กับ SET Index เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
ในขณะที่รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายน 2563 อยู่ที่ระดับ 47.2 จุด (เดือนมีนาคม: 50.3 จุด) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 ทำให้อยู่ในระดับตำสุดในรอบ 21 ปี 7 เดือน ซึ่งสัญญาณดังกล่าวเป็นสัญญาณเชิงลบต่อกลุ่ม ค้าปลีก
ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ค่า P/E Ratio ปัจจุบัน (Trailing P/E ratio) อยู่ที่ 18.94 เท่า เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนที่ระดับ 15.13 เท่า การเพิ่มขึ้นของ P/E Ratio ส่งผลให้ปัจจุบันอยู่มากกว่าระดับค่าเฉลี่ยที่ระดับ 15 – 16 เท่า แสดงถึง Valuation และ Upside ที่จำกัด เมื่อพิจารณาผลประกอบการในไตรมาส 2 จะมีแนวโน้มที่จะออกมาอ่อนจากผลกระทบจากการ Lockdown แสดงว่าปัจจุบัน SET Index ซื้อขายบน premium บนกำไรปี 2563 ที่อ่อนแออย่างมาก
ในส่วนของอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับบ 3.82% เทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ 1.24% ส่วนต่างของผลตอบแทนอัตราเงินปันผลของ SET Index เทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ลดลงเหลือ 2.58% (เดือนเมษายนอยู่ที่ 2.78%)