การให้เหตุผล
ส่วนประกอบของการให้เหตุผลแบ่งเป็น 2 แบบดังนี้
1. ข้ออ้างหรือเหตุ มักปรากฏคำว่า เพราะว่า เนื่องจาก ด้วยเหตุที่ว่า ฯลฯ
2. ข้อสรุปหรือผล มักปรากฏคำว่า เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุนี้จึง ดังนั้น ฯลฯ
ประเภทของการให้เหตุผลการให้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive reasoning) เป็นการให้เหตุผลโดยอาศัยข้อสังเกตหรือผลการทดลองจากหลาย ๆ ตัวอย่าง มาสรุปเป็นข้อตกลง หรือข้อคาดเดาทั่วไป หรือคำพยากรณ์ ซึ่งจะเห็นว่าการจะนำเอาข้อสังเกต หรือผลการทดลองจากบางหน่วยมาสนับสนุนให้ได้ข้อตกลง หรือ ข้อความทั่วไปซึ่งกินความถึงทุกหน่วย ย่อมไม่สมเหตุสมผล
ข้อสังเกตของการให้เหตุผลแบบอุปนัย- 1. ข้อสรุปของอุปนัย ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงเสมอไป
- 2. ข้อสรุปของอุปนัยสามารถเกิดขึ้นได้มากกว่า 1 คำตอบ
- 3. ข้อสรุปของอุปนัยสามารถเกิดความผิดพลาดได้สูง
ตัวอย่าง
เหตุ 1.ห่านตัวนี้สีขาว
2.ห่านตัวนั้นก็สีขาว
3.ห่านตัวโน้นก็สีขาว
ดังนั้น ข้อสรุปคือ ห่านทุกตัวมีสีขาว
ตัวอย่าง
เหตุ 1.คอมพิวเตอร์ที่บ้านใช้ไฟฟ้า
2.คอมพิวเตอร์พกพาใช้ไฟฟ้า
3.คอมพิวเตอร์ในสำนักงานใช้ไฟฟ้า
ดังนั้น ข้อสรุปคือ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องใช้ไฟฟ้า
การให้เหตุผลแบบนิรนัย(Deductive reasoning)เป็นการนำความรู้พื้นฐานที่อาจเป็นความเชื่อ ข้อตกลง กฎ หรือบทนิยาม ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้มาก่อนและยอมรับว่าเป็นจริง เพื่อหาเหตุผลนำไปสู่ข้อสรุป
ข้อสังเกตของการให้เหตุผลแบบนิรนัย
- 1. เหตุเป็นจริง และ ผลเป็นจริง
- 2. เหตุเป็นเท็จ และ ผลเป็นเท็จ
- 3. ข้อสรุปของนิรนัยไม่ได้เป็นจริงทุกกรณีเสมอไป
ตัวอย่าง
เหตุ 1.นายจรัสเป็นมนุษย์
2.มนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิต
3.สิ่งมีชีวิตต้องการอากาศหายใจ
ดังนั้น ข้อสรุป นายจรัสต้องการอากาศหายใจ
ตัวอย่าง
เหตุ 1.นางสาวกานดาเกิดจังหวัดเชียงใหม่
2.จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว
3.จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย
ดังนั้น ข้อสรุป นางสาวกานดาเกิดในจังหวัดท่องเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทย
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบนิรนัยจะให้ความแน่นอน แต่การให้เหตุผลแบบอุปนัย จะให้ความน่าจะเป็น
{{ 'Comments (%count%)' | trans {count:count} }}
{{ 'Comments are closed.' | trans }}